วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โรค

 ชื่อโรค/โรคข้าวไร่และการป้องกันกำจัด
โรคข้าวไร่ที่พบระบาดทั่วไปในปัจจุบัน เกิดจากสาเหตุใหญ่ 2 ประการด้วยกัน คือ
1. โรคที่เกิดจากเชื้อ
    1. โรคที่เกิดจากเชื้อ
        1.1 เชื้อรา
                1.1.1 โรคไหม้
                1.1.2 โรคใบขีดสีน้ำตาล
                1.1.3 โรคใบจุดสีน้ำตาล                1.1.4 โรคใบวงสีน้ำตาล


        1.2 เชื้อแบคทีเรีย
                1.2.1 โรคขอบใบแห้ง

        1.3 เชื้อไวรัสและ/หรือไฟโตพลาสมา 
                1.3.1 โรคใบสีแสด

        1.4 ไส้เดือนฝอย
                1.4.1 ไส้เดือนฝอยรากปม

2. โรคไม่มีเชื้อ
        2.1 สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสม
                2.1.1 อุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป
                2.1.2 สภาพ ดิน น้ำ และอากาศเป็นพิษ
                2.1.3 ความสูงจากระดับน้ำทะเลสูงหรือต่ำเกินไป
                2.1.4 ความลึกของหน้าดินตื้นเกินไป
        
        2.2 การขาดธาตุอาหารที่สำคัญ

          2.1.1 ธาตุไนโตรเจน เป็นธาตุที่สำคัญในการเจริญเติบโตของต้นข้าว ข้าวที่ขาดธาตุไนโตรเจน ใบอ่อนจะมีสีเขียวซีดเริ่มจากปลายใบเข้ามา ส่วนใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วเป็น สีน้ำตาล ในที่สุดจะแห้งตายไป ต้นข้าวจะมีลักษณะแคระแกร็น แตกกอน้อยใบข้างจะแคบเล็กและบาง เมื่อพบอาการดังกล่าวมาแล้วในแปลงข้าว ควรจะรีบทำการใส่ปุ๋ยไนโตรเจนโดยทันที
ในกรณีที่ธาตุไนโตรเจนมีมากเกินไป ต้นข้าวจะแตกกอมาก ต้นข้าวจะสูง ลำต้นอ่อนแอ ข้าวจะแก่ช้า และข้าวจะล้มง่าย นอกจากนี้ยังถูกแสงแดดหรือความแห้งแล้งทำความเสียหายให้โดยง่ายอีกด้วย
      2.1.2 ธาตุฟอสฟอรัส เป็นธาตุอาหารที่สำคัญในการสร้างระบบรากของต้นข้าว และในระยะแรกของการเจริญเติบโตของต้นข้าว ต้นข้าวที่ขาดธาตุฟอสฟอรัสใบจะมีสีเขียวเข้มใบเล็กและเรียวและตั้งตรง รากจะไม่ขยายเช่นปกติ
         2.1.3 ธาตุโพแทสเซียม มีความสำคัญในการสร้างลำต้นของข้าวและเปลือก การแตกกอน้อย

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การปลูกข้าวนาดำ

3.การปลูกข้าวนาดำ หมายถึง        ทำเทือกรอต้นกล้า  ปลูกข้าวที่ต้องมีการเพาะเมล็ดข้าวหรือตกกล้าในแปลงขนาดเล็กเสียก่อน แล้วจึง
ถอนต้นกล้าเอาไปปักดำในแปลงใหม่ วิธีการแบบนี้ ถ้าพิจารณากันในด้านผลผลิตแล้วจะสูงกว่าการทำนาโดยวิธีอื่น


การปลูกข้าวนาปี

2.การปลูกข้าวนาหว่าน(นาปี) มีวิธีการทำได้หลายวิธี เช่น
        การปลูกแบบหว่านแห้ง (ไถก่อนแล้วหว่าน) หลังจากที่เกษตรกรไถดะ(ใช้รถไถไถ)แล้วก็จะหว่านเมล็ดแห้งเลย        เมล็ดข้าวที่หว่านจะตกลงไปอยู่ตามซอกก้อนดิน เกษตรกรบางรายที่มีแรงงาน อาจจะคราดกลบอีกครั้งหนึ่ง แต่บางรายก็ไม่มีการคราดกลบ ในแหล่งที่สามารถระบายน้ำเข้าได้ ให้ระบายเข้าช้าๆ ถ้าระบายเร็วเกินไป เมล็ดจะลอยไปอยู่ ปลายน้ำหมด
        การปลูกแบบไถหว่านหลังขี้ไถ (ขี้ไถคือ ขึ้นที่ฟูขึ้นมาไม่ใช่ล่ง)ในบางครั้งหลังจากที่ไถดะแล้ว ฝนมาเร็วไม่สามารถไถแปรและคราดได้ทันก็อาจจะเอาเมล็ดข้าวแห้งมาหว่านบนหลังขี้ไถได้เลยแต่เมล็ดพันธุ์อาจได้รับความเสียหายจากนก หนูมาก     


 การปลูกข้าวแบบหว่านเทือกหรือหว่านข้าวงอกหรือการทำนาหว่านน้ำตมแผนใหม่(นาปรัง)
 วิธีการเตรียมดิน
        
ต่อเมื่อทำเทือกหรือปรับเทือกให้เสมอกันครั้งสุดท้ายแล้ว ต้อง
   ปล่อยน้ำออกให้แห้ง จากนั้นให้ชักร่องหรือทำร่องให้เป็นแปลงย่อย ที่มีความกว้าง 3-4 เมตร  เพื่อให้เทือกแห้งดียิ่ง
       ขึ้นเสร็จแล้วนำข้าวงอกที่เตรียมไว้แล้ว มาหว่านลงในแปลงย่อย ๆ นั้น
        การปลูกข้าวแบบหว่านข้าวงอก หรือการปลูกแบบนาหว่านน้ำตม ในพื้นที่บางแห่งเป็นที่ลุ่มไม่สามารถ
       ระบายน้ำออกได้และบางแห่งดินเปรี้ยวด้วย เตรียมดินเหมือนกับทำนาดำแล้วทิ้งไว้ตกตะกอนเพื่อให้น้ำที่ขังอยู่นั้นใส  ในระหว่างที่ตกตะกอนนั้นให้รีบหว่านข้าวงอกลงไป เมล็ดข้าวซึ่งหนักกว่าตะกอนจะตกถึงผิวดินก่อน และตะกอน
       นั้นจะตกลงไปทับเมล็ดข้าวอีกทีหนึ่งทำให้น้ำไม่สามารถพัดพาเมล็ดข้าวงอกลอยไปที่อื่นได้ เมื่อตะกอนตกหมดแล้ว  น้ำจะใส ทำให้เมล็ดข้าวได้รับแสงแดดที่ผ่านน้ำลงไป ข้าวก็จะเริ่มงอกและเจริญเติบโตต่อไป

การทำนา การปลูกข้าวไร่

การทำนา -:-
การทำนา หมายถึงการปลูกข้าวและการดูแลรักษาต้นข้าวในนาไป จนถึงการเก็บเกี่ยว     การปลูกข้าวในแต่ละท้องถิ่น จะแตกต่างกันไปตามสภาพของดินฟ้าอากาศ และสังคมของท้องถิ่นนั้นๆ ในแหล่งที่ต้องอาศัยน้ำจากฝนเพียงอย่างเดียวก็ต้องกะระยะเวลาการปลูกข้าวให้เหมาะสมกับช่วงที่มีฝนตกสม่ำเสมอ และเก็บเกี่ยวในช่วงที่ฤดูฝนหมดพอดี เนื่องจากแต่ละท้องถิ่นมีสภาพดินฟ้าอากาศที่แตกต่างกัน ดังนั้น การปลูกข้าวจึงมีวิธีการหลายวิธี

         1.การปลูกข้าวไร่ หมายถึง การปลูกข้าวบนที่ดอนและไม่มีน้ำขังในพื้นที่ปลูก พื้นที่ดอนส่วนมาก เช่น เชิงภูเขมักจะไม่มีระดับ คือสูงๆ ต่ำๆ จึงไม่สามารถไถเตรียมดินและปรับระดับได้ง่ายเหมือนกับพื้นที่ราบ เพราะฉะนั้น ชาวนา มักจะปลูกแบบหยอด
      โดยขั้นแรกทำการตัดหญ้าและต้นไม้เล็กออก และทำความสะอาดพื้นที่ที่จะปลูก    แล้วใช้หลักไม้ปลายแหลมเจาะดินเป็นหลุมเล็กๆ แล้วหยอด  เมล็ดพันธุ์ลงในต่อหลุม หลังจากหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวแล้ว ก็ใช้เท้า  กลบดินปากหลุม เมื่อฝนตกลงมาหรือเมล็ดได้รับความชื้นจากดิน ก็จะงอกและเจริญเติบโตเป็นต้นข้าว เนื่องจากที่ดอนไม่มีน้ำขังและไม่มีการชลประทาน การปลูกข้าวไร่จึงต้องใช้น้ำฝนเพียงอย่างเดียว พื้นดินที่ปลูกข้าวไร่จะแห้งและขาดน้ำทันทีเมื่อสิ้นฤดูฝน
      ดังนั้น การปลูกข้าวไร่จะต้องใช้พันธุ์ข้าวที่มีอายุเบา(3เดือน) โดยปลูกในต้น ฤดูฝน  และแก่เก็บเกี่ยวได้ในปลายฤดูฝน การปลูกข้าวไร่ ชาวนาจะต้องหมั่นกำจัดวัชพืช เพราะที่ดอนมักจะมีวัชพืชมากกว่าที่ลุ่ม เนื้อ  ที่ ที่ใช้ใน การลูกข้าวไร่ในประเทศไทยมีจำนวนน้อย และมีปลูกมากเฉพาะในภาคเหนือและภาคใต้ ส่วนภาคตะวัน  ออกเฉียงเหนือและภาคกลางปลูกข้าวไร่น้อยมาก

กระดูกสันหลังของชาติ

กระดูกสันหลังของชาติคือ                   
  ชาวนา คืออาชีพทางเกษตรกรรม ในประเทศไทยมักมีความหมายถึงอาชีพปลูกข้าวเป็นหลัก ชาวนาในประเทศไทยนับว่าเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุด เพราะข้าวเป็นอาหาร หลักของคนไทย อาชีพทำนาเป็นอาชีพดั้งเดิมของคนไทย ที่สืบทอดมายังอนุชนรุ่นหลัง โดยส่วนใหญ่แล้ว   ชาวนาจะใช้ชีวิตอยู่โดยสงบเงียบในชนบท

การทำงานของชาวนาจะเริ่มทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำตลอดทั้งปี เพราะหลังจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวประจำปีแล้ว พวกเขาก็จะเริ่มปลูกข้าวนาปรัง หรือพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ต่ออีก หรือไม่ก็เลี้ยงปศุสัตว์หรือสัตว์อื่น ๆ เสริม เช่น ปลา และ เป็ด เป็นตัน โดยปกติปลาจะอาศัยอยู่ตามธรรมชาติใน  นาข้าว ดังนั้น ต้นกล้าและปลาจะเติบโตไปพร้อม ๆ กัน

ส่วนใหญ่ข้าวจะปลูกกันมากในภาคกลาง ซึ่งจนถึงกับบางครั้งคำเรียกภาคกลาง ว่า "อู่ข้าวอู่น้ำ" ของเอเซีย และ ของโลก